<<< Review Indigo Pearl Resort Phuket >>>
สัมผัสแรกตั้งแต่ได้ย่างกายเข้าสู่บริเวณล็อบบี้ของ Indigo Pearl รีสอร์ท
เหมือนหลุดเข้าไปอยู่ใน แกลอรี่ ขนาดใหญ่ ที่เต็มไปด้วยไอเดีย การออกแบบ ที่น่าสนใจ
ทุกมุมที่สายตาเหลือบไปมองจะต้องเห็นสิ่งของที่ดูแล้วสะดุดตาน่าค้นหา
เพราะที่นี่เต็มไปด้วยวัสดุ อุปกรณ์ เครื่องใช้ต่างๆ ที่เล่าเรื่องราวที่มาที่น่าสนใจในอดีตของตัวรีสอร์ทแห่งนี้
เริ่มตั้งแต่โลโก้ของรีสอร์ท ที่มีลูกศรชี้ลง ชีขึ้น ก็ยังแฝงไปด้วยความหมายที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจทำเหมืองแร่ในอดีตอีกด้วย คือ ลูกศรที่ชี้ลงหมายถึงว่าเครื่องจักรกำลังทำงานอยู่ด้านล่าง และ เครื่องหมายลูกศรชี้ขึ้นคือได้นำแร่ขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว
ดูผลงานของคุณ Bill Bensley ได้ที่นี่ครับ
http://www.bensley.com/
สำหรับคอนเซ็ปของที่นี่คือ Raw Beauty, Bold Designs, Luxury Unhindered
Indigo Pearl หรือ ไข่มุกสีคราม
เป็นของตกแต่งที่ถูกติดประดับไว้อยู่ตรงบริเวณเสากลางล็อบบี้
ที่นั่งพักบริเวณล็อบบี้
หลังจากผ่านขั้นตอนการเช็คอินน์เรียบร้อยแล้ว
เราไปชมห้องพักกันต่อเลยครับ
ห้องพัก
ห้องพักที่ Indigo Pearl Resort มีแบ่งออกเป็น 2 แบบหลักๆ คือ Suites และ Private Pool Villas แต่ห้องพักแบบ Suites จะมีแบ่งย่อยออกเป็น 6 ประเภท และ ห้อง Private Pool Villas แบ่งออกเป็นห้องพักแบบ 1 ห้องนอน และ แบบ 2 ห้องนอน ดังนี้
- Suites
- Pearl Bed Suite
- D-Buk Suite
- Pool Suite
- Pearl Shell Suites
- Coqoon Suite
- Bensley Suite
- Private Pool Villas
- One Bedroom Private Pool Villa (พักได้ 2 ท่าน)
- Two Bedroom Private Pool Villa (พักได้ 4 ท่าน)
สำหรับการเข้าพักครั้งนี้พวกเราได้มีโอกาสเข้าไปชมบรรยากาศของห้องพักในแบบ Pearl Bed Suite , D-Buk Suite และ One Bedroom Private Pool Villa ซึ่งห้องพักในส่วนอื่นๆ ไม่ว่างให้เข้าไปชมน่ะครับ อย่างไร การเข้าชมบรรยากาศของห้องพักใน 3 แบบ นี้ ก็ทำให้เราได้ไอเดียเกี่ยวกับการออกแบบของคุณ Bill Bensley เป็นอย่างดีแล้วล่ะครับ
ห้องพักประเภท Pearl Bed Suite
ภายในห้องพักประเภทแรกดูกว้างขวางมากๆ บวกกับการออกแบบที่เน้นเพดานให้สูงขึ้นกว่าปกติ ยิ่งทำให้ห้องพักดูโปร่งโล่งสบายมากยิ่งขึ้น
บนเตียงนอนจะมีกระเป๋าใส่ของม้วนวางผูกโบว์ไว้ให้อย่างดี
อันนี้เป็น Complimentary ของทางรีสอร์ทครับ สามารถนำติดตัวกลับบ้านได้เลย
เข้าไปชมในส่วนของห้องน้ำกันบ้างครับ
ดูประตูห้องน้ำใหญ่มาก
ห้องน้ำจะมีแบบฝักบัวและอ่างอาบน้ำ
ส่วนอ่างล้างหน้าจะมีให้ 2 ชุดครับไม่ต้องแย่งกัน
การออกแบบที่นี่จะเน้นแบบดิบๆ และดูสวยงามตามคอนเซ็ป Raw Beauty
แม้แต่น็อตตัวเล็กๆ เหล่านี้ก็ยังเก็บเอามาใช้ทำเป็นของตกแต่งได้อย่างสวยงาม
ส่วนอาบน้ำแบบฝักบัว มีทั้งแบบฝักบัวอาบน้ำธรรมดาและแบบ rain shower
อ่างอาบน้ำตั้งอยู่ด้านนอกระเบียง
แต่จะมีผ้าม่านดึงลงมาปิดได้ในกรณีที่ต้องการความเป็นส่วนตัว
อย่างไรห้องพักประเภทนี้จะมีแบบใหม่และแบบเก่า ซึ่งจะต่างกันตรงที่ อ่างอาบน้ำแบบเก่าจะอยู่ด้านในห้องน้ำ แต่ห้องแบบใหม่ อ่างอาบน้ำจะอยู่ตรงบริเวณระเบียง
ครีมอาบน้ำ ยาสระผม และ ครีมนวดผม
ผมชอบกลิ่นของครีมอาบน้ำมากๆ ฟอกแล้วหอมติดตัวเลย
แต่ขวดกระเบื้องน้ำหนักตึงๆ มือแบบนี้ ตอนอาบน้ำแล้วมือลื่นๆ ก็มีหวั่นๆ กลัวจะหล่นเหมือนกัน ตอนจับต้องจับดีๆ
กลับเข้ามาดูภายในห้องพักกันต่อ
ภายในห้องพักมี โต๊ะเขียนหนังสือ ทีวี และ อินเตอร์ไร้สายความเร็วสูง ที่ใช้งานได้อย่างลื่นไหลไม่มีสะดุด
มีจุดน้ำมันหอมระเหยเพื่อทำให้บรรยากาศในห้องสดชื่นอีกด้วย
เปิดตู้เย็นดูมินิบาร์ซะหน่อย
ส่วนนี้เป็น Complimentary ครับ น้ำขวดมีให้เยอะเลย
ห้องพักที่นี่เค้าเน้นพื้นที่ใช้สอยค่อนข้างมาก
ในแต่ละห้องจะมี Walk-in Closet สำหรับวางกระเป๋าเดินทางหรือวางสัมภาระต่างๆ เพื่อไม่ให้ไปเบียดเบียนพื้นที่ส่วนพักผ่อนภายในห้องพัก ซึ่งถือว่าคิดเผื่อได้ละเอียดจริงๆ
บริเวณระเบียงด้านหลังห้องพัก ค่อนข้างกว้าง มี ทั้ง Daybed และ โต๊ะนั่งชุดนึงสำหรับนั่งพักชมวิวต้นไม้สวยๆ ด้านหลังห้อง
ห้องพักประเภท D-Buk Suite
ห้องพักประเภทนี้จะเป็นห้องพักที่มีขนาดพื้นที่กว้างกว่าในแบบแรกโดยมีพื้นที่รวมทั้งหมด 76 ตารางเมตร การออกแบบจะเน้นพื้นที่ภายในตัวห้องพักให้กว้าง แต่จะลดขนาดของพื้นที่ส่วนห้องน้ำลงมาหน่อยนึง ซึ่งแบบนี้ก็รู้สึกดีครับ เพราะว่าปกติผมชอบให้พื้นที่ในห้องนอนกว้างๆ มากกว่า
ที่นอนใช้ฟูกหนานุ่ม รวมถึงผ้าปูที่นอน หมอน ผ้าห่ม ทุกอย่างใช้ของดีมีคุณภาพ ทำให้รู้สึกสัมผัสที่ผ่อนคลาย นอนหลับได้ลึกและสบายจริงๆ
ห้องพักประเภทนี้จะวางอ่างอาบน้ำไว้ในตัวห้อง ซึ่งแปลกไปอีกแบบ คิดว่าเค้าคงเน้นให้นอนแช่อ่างแล้วชมวิวด้านนอกได้ด้วย
ส่วนระเบียงนั่งเล่นด้านนอก มีให้ 2 ระเบียงเลยทีเดียว
อย่างที่บอกไว้ตอนต้นครับว่าห้องพักที่นี่เค้าจะต้องมี Walk-in Closet ทุกห้อง เพื่อส่วนหนึ่งเอาไว้เก็บกระเป๋าและสัมภาระต่างๆ
Private Pool Villas
Villa มีทั้งหมด 7 หลัง มีแบบ 1 ห้องนอน และ 2 ห้องนอน โดยการสร้างจะดูจากตำแหน่งของวิลล่านั้นๆ ซึ่งมีขนาดพื้นที่ตั้งแต่ 550 - 2500 ตารางเมตร
ห้อง Villa ของที่นี่เค้าจะแบ่งในส่วนของห้องนอนและห้องนั่งเล่นแยกกันออกไปคนละส่วนเลยครับ
อย่างเช่นห้องนี้จะเป็นในส่วนของห้องนอนอย่างเดียวเลย
กว้างมากๆๆๆๆ
บริเวณด้านบนหัวเตียงเป็นส่วนของห้องน้ำ ซึ่งมีพื้นที่ใช้สอยเหลือเฟือจริงๆ
หรือถ้าใครอยากอาบน้ำภายใต้บรรยากาศแบบธรรมชาติ ก็สามารถออกมาอาบน้ำฝักบัวด้านนอกได้ครับ
ถัดมาเป็นในส่วนของห้องนั่งเล่น ซึ่งจริงๆ ห้องนี้เป็นห้องรวมๆ มากกว่าครับ เพราะว่าใช้เป็นได้ทั้งห้องนั่งเล่น ห้องทานอาหาร และ ห้องสปาส่วนตัว รวมถึงห้องอบซาวน่าภายในห้องนี้ด้วยล่ะครับ
บนโต๊ะทานอาหารยังมีอุปกรณ์ของใช้ต่างๆ มาตั้งโชว์ให้คนได้นั่งพิจารณะฝึกสมองกันเล่นๆ ว่ามันคือเครื่องอะไร
ผนังห้องก็มีกระดานวาดรูปเครื่องจักรต่างๆ ซึ่งใช้ในสมัยก่อน
ชุดโซฟานั่งพักผ่อน
ภายในห้องสปา และ ห้องซาวน่า
ออกมาด้านนอกเป็นสระว่ายน้ำส่วนตัว ซึ่งมีขนาดยาว ใช้ว่ายน้ำออกกำลังกายได้เลยล่ะครับ
เศษน็อตเอามาเชื่อมต่อกันกลายเป็นของประดับสวยๆ ได้อีก
ประตูที่นี่จะเป็นระบบไฮดรอลิกครับ
กดรหัสหน้าประตู แล้วประตูจะเปิดเอง และ จะปิดเองภายใน 15 วินาที ทันสมัยจริงๆ
หลังจากชมห้องพักกันครบ ตามที่ทางรีสอร์ทมีว่างให้ชมกันแล้ว ช่วงค่ำ ก็เดินเล่นชมบรรยากาศสวยๆ ของตัวรีสอร์ทกันต่อดีกว่าครับ
ขอแนะนำเลยครับ ถ้าใครมาพักที่นี่ ควรจะออกมาจากห้องพักในช่วงค่ำ เพื่อเดินดูไฟสวยๆ ตามจุดต่างๆ ของรีสอร์ท เก็บภาพสวยๆ ไว้อวดบนเฟสกันครับ เพราะว่าแต่ละจุดดูสวยและน่าถ่ายรูปไปซะหมด
ชมบรรยากาศยามค่ำคืนกันแล้ว เดี๋ยวช่วงเช้าไปทานอาหารเช้ากันต่อครับ
อาหารเช้า และ ห้องอาหารภายในรีสอร์ท
ตื่นแต่เช้า เดินชมบรรยากาศที่เงียบสงบของรีสอร์ท ที่เต็มไปด้วยต้นไม้เขียวขจี ทำให้รู้สึกสดชื่นและมีความสุขมากๆ ถึงแม้จะต้องแลกกับการที่ต้องลากตัวเองออกมาจากเตียงนุ่มๆ ใต้ผ้าห่มหนาๆ ที่อุ่นสบาย
ผมเดินลัดเลาะไปเรื่อยๆ ทางด้านหลังรีสอร์ท ซึ่งติดกับหาดในยาง
หาดนี้เป็นหาดที่มีชายหาดที่กว้าง เนื้อทรายไม่ได้ขาวละเอียดมากนัก แต่ก็ถือว่าสวยใช้ได้ครับ
บรรยากาศยามเช้าท้องฟ้าที่นี่จะมีสีสัน ดูสวยงามจริงๆ
สูดหายใจเข้าไปนี่รู้สึกได้ถึงความบริสุทธิ์เลยล่ะครับ
บริเวณริมหาดจะมีร้านอาหาร บาร์ ร้านค้า ตั้งอยู่เรียงราย
ใครที่ทานง่ายๆ ก็อาจจะเดินออกมาหาอะไรทานบริเวณริมหาดนี้ก็ได้ครับ
แต่ผมออกมาแต่เช้าร้านส่วนใหญ่เลยยังไม่เปิดให้บริการ
เดี๋ยวเรากลับไปที่ตัวรีสอร์ท เพื่อไปทานอาหารเช้ากันดีกว่าครับ
ห้องอาหารที่รีสอร์ทจะมีหลายแห่งดังนี้ครับ
- Black Ginger
- Rivet & Rebar
- Tongkah Tin Syndicate
- Tin Mine
- Underground Cafe
สำหรับอาหารเช้าจะเสิร์ฟที่ห้องอาหาร Tin Mine รวมถึงอาหารในช่วงกลางวันด้วยครับ ส่วนในช่วงค่ำจะเป็นร้าน Black Ginger หรือ จะไปนั่งชิลล์ๆ ที่ห้องอาหาร Tongkah Tin Syndicate
ห้องอาหาร Tin Mine
ดูอุปกรณ์ ช้อน ส้อม มีด เป็นเหมือนปะแจที่ใช้ไขในโรงงานเลย
นี่เรียกได้ว่าเป็นคอนเซ็ป Industrial Design จริงๆ
สั่งกาแฟมาจิบก่อน
ไลน์อาหารเช้าที่นี่มีให้เลือกค่อนข้างหลากหลายนะครับ
มีทั้งข้าวต้ม ผัดซีอิ๊ว ซาลาเปา ขนมจีบ ปาท่องโก๋ แพนเค๊ก
อาหารโปรด Egg Benedict
พวกนี้ก็เป็นพวกอุปกรณ์จากโรงงานเหมืองแร่เช่นกัน
น้ำผึ้งมาทั้งรังเลย
น้ำผลไม้ อร่อยมากๆๆๆ
สำหรับมื้อค่ำพวกเราฝากท้องที่ห้องอาหาร Black Ginger
สำหรับความโดดเด่นของร้านอาหาร Black Ginger คือ เค้าจะทำเป็นร้านอาหารสไตล์ศาลาไทยสีดำทั้งหลังตั้งอยู่กลางน้ำ ซึ่งถ้าเราต้องการไปทานอาหาร จะมีเจ้าหน้าที่มารับโดยใช้แพ
สำหรับอาหารที่เสิร์ฟที่ร้านนี้จะเป็นสูตรพื้นเมืองดั้งเดิมจากต้นตระกูล ณ ระนอง ซึ่งเป็นต้นตระกูลที่ทำเหมืองแร่อยู่ที่ภูเก็ตแห่งนี้ในสมัยก่อน
การตกแต่งที่ร้านจะเน้นโทนสีดำ ทำให้ดูขรึมๆ น่าค้นหาดีครับ
พนักงานเสิร์พที่นี่จะสวมชุดตะเบงมานทำให้เข้ากับบรรยากาศมากๆ
Tongkha Tin Syndicate
ห้องอาหารทุ่งคาซินดิเคท
สำหรับที่ห้องอาหารนี้จะเป็นลักษณะผับ บาร์ ซึ่งมีสไตล์การตกแต่งที่น่าสนใจ
อุปกรณ์ที่ใช้ในการตกแต่งส่วนใหญ่คือเป็นอุปกรณ์ที่นำมาจากโรงงานเหมืองแร่เก่าของต้นตระกูล ณ ระนองทั้งนั้นเลยครับ
เงยหน้ามองขึ้นไปด้านบน เหมือนจะเป็นเครื่องร่อนอะไรซักอย่าง แต่ปัจจุบันเค้าเอามาทำคล้ายๆ กับพัด ซึ่งสามารถเปิดให้โบกไปมาคล้ายกับใบพัดได้เลยครับ
ที่นี่จะเหมาะสำหรับคนที่ชอบนั่งจิบเบียร์ จิบไวน์ หรือ จะเป็นเหล้า ที่มีหลากหลายยี่ห้อจากทั่วโลก
นอกจากนั้นยังมีโต๊ะสนุกให้ได้เล่นกันด้วยล่ะครับ
Rivet & Rebar
ห้องอาหาร Rivet & Rebar เป็นห้องอาหารสำหรับทานช่วงเย็นๆ หรือ ค่ำๆ อีกแห่งของรีสอร์ทแห่งนี้ แต่ที่นี่จะมีความแตกต่างจากห้องอาหาร Black Ginger ตรงที่ ห้องอาหารนี้จะมีลักษณะคล้ายๆ กับเลาจ์ ซึ่งจะเน้นการรับประทานอาหารควบคู่ไปกับความบันเทิง
อุปกรณ์ที่ใช้ยังคงคอนเซ็ป industrial
มีอะไรทำบ้างที่ Indigo Pearl Resort Phuket
การพักผ่อนที่ Indigo Pearl ส่วนตัวผมไม่ค่อยเน้นทำกิจกรรมอะไรมากมาย แค่ได้นอนพักผ่อนอยู่ในห้องนอนสบายๆ เปิดแอร์เย็นๆ ก็มีความสุขแล้วล่ะครับ
แต่ถ้าใครต้องการที่จะหากิจกรรมทำ ที่นี่ก็มีให้เลือกทำได้หลายอย่างเลยครับ
และด้วยพื้นที่ของตัวรีสอร์ท ค่อนข้างใหญ่ ทำให้ที่นี่จำเป็นต้องมี สระว่ายน้ำกระจายอยู่ทั่วรีสอร์ทถึง 3 สระด้วยกันครับ
ซึ่งสระว่ายน้ำที่นี่จะเรียกว่า สระ 1 , สระ 2 และ สระ 3
ซึ่งสระ 1 จะเป็นสระเดียว ที่มีสระว่ายน้ำสำหรับเด็กเล็กลงไปเล่นได้
ส่วนสระ 2 กับ สระ 3 จะเป็นสระสำหรับผู้ใหญ่เท่านั้น
ห้องฟิตเนส
Coqoon Spa
และกิจกรรมที่ขอนำเสนอเลยคือสปาครับ ที่นี่เค้าได้รางวัล Best Luxury Resort Spa Country Winner จาก World Luxury Spa Awards ปี 2012
ตัวห้องสปามีชื่อว่า "The Nest" ทำด้วยหวายเทียมที่สานด้วยมือ ใช้เวลาสานประมาณ 1 ปี ซึ่งเป็นแนวคิดเหมือนกับเป็นรังไหมหรือรังนกซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ
คอนเซ็ปของ Coqoon สปาคือ การให้ลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการแล้วกลับออกไปโดยมีความรู้สึกเหมือนกับผีเสื้อที่โบยบินอย่างสดชื่นออกจากรังไหมไป
ประมาณว่าได้เกิดใหม่แล้ว
การออกแบบต้นเสาไม่ให้ตั้งอยู่ตรงกลางก็เป็นอีกหนึ่งไอเดียของคุณ Bill Bensley ที่ต้องการเนื้อที่สำหรับการใช้งานที่เหมาะสม
เข้ามาชมบรรยากาศด้านใน สวยงามจริงๆ ครับ ยิ่งช่วงกลางวัน จะมีแสงสว่างรอดเข้ามาตามช่องทำให้ด้านในไม่ดูมืดอย่างที่คิด
ยิ่งในช่วงกลางคืนเปิดไฟสวยมากๆ
น้ำมันสกัดในการทำ therapy ซึ่งมีทั้งหมด 5 สีด้วยกัน
สีฟ้า สกัดจากยูคาลิปตัส ช่วยในเรื่องของการลดความตรึงเครียดของกล้ามเนื้อ
สีเขียว สกัดจากตะไคร้ ช่วยในเรื่องของการดีท็อกซ์
สีแดง สกัดจากเป๊บเปอร์มิ้นช่วยในเรื่องทำให้จิตใจผ่อนคลาย
สีน้ำตาล สกัดจากมะพร้าวช่วยในเรื่องการรักษาผิวพรรณ
สีดำ สกัดจากมะกรูด ช่วยรักษาสมดุลของร่างกาย
ห้องสปาแบบธรรมดาที่ไม่ใช่รังไหมก็มีบริการครับ ราคาจะถูกกว่ากันหน่อยนึง
ห้องทำเล็บ
ห้องตัดผม
นอกจากนั้นกิจกรรมโปรดของผมในขณะที่เข้าพักอยู่ที่นี่ก็คือ การได้เดินชมของตกแต่งแปลกๆ ของทางรีสอร์ท ซึ่งเป็นวัสดุอุปกรณ์ หรือ เครื่องจักรต่างๆ ที่นำมาจากโรงงานเหมืองแร่ในสมัยก่อน
ตรงบริเวณล็อบบี้ จะมี Gallery ด้วยนะครับชื่อ SHADES GALLERY ซึ่งมีผลงานจากศิลปินหลายๆ ท่านนำมาจัดแสดงไว้ให้ชมกัน
Kids' Club
สำหรับการเข้าพักแบบครอบครัว ก็ไม่ต้องห่วงเลยครับ เพราะนอกจากจะมีสระว่ายน้ำสำหรับเด็กแล้ว ที่นี่ยังมี Kid's Club ที่มีของเล่นเยอะแยะไปหมด
รวมถึงยังมีเจ้าหน้าที่ประจำ Kid's Club ที่ใจดีเล่นกับเด็กๆ และคอยดูแลเด็กๆ เป็นอย่างดีเลยครับ
ชายหาดในยาง
ใครที่อยากจะออกไปเดินเล่นที่ชายหาด ก็สามารถเดินไปทางบริเวณด้านหลังรีสอร์ท ซึ่งสามารถเดินทะเลไปที่ชายหาดได้เลย ซึ่งชายหาดที่นี่ก็ถือว่าสวยในระดับนึงเลยล่ะครับ
ความคิดเห็นเกี่ยวกับการเข้าพักที่ Indigo Pearl Resort Phuket
- แน่นอนเลยครับคือประทับใจรีสอร์ทนี้ในเรื่องของการออกแบบ เรื่องไอเดีย การนำของเก่าที่ไม่ได้ใช้แล้วมาตกแต่งให้ดูแพงได้อย่างลงตัว
- พนักงานให้การต้อนรับดีมาก ยิ้มแย้ม และ ทักทายตลอด
- ภายในห้องพักออกแบบได้ดี โดยเน้นให้ทุกห้องมี Walk-in Closet เพื่อเก็บสัมภาระทำให้ในส่วนของห้องนอนไม่เกะกะ
- เตียงนอนหนา นุ่ม นอนสบายมากๆ
- การตกแต่งบริเวณรีสอร์ทเน้นต้นไม้เยอะมาก ทำให้กลางคืนจะมียุงค่อนข้างเยอะ แต่ตอนกลางวันดูร่มรื่นดี
- อาหารเช้ามีให้เลือกพอสมควร รสชาติกลางๆ ครับ แต่ชอบ Egg Benedict อร่อยดี และ Fruit Juice อร่อยมากๆ ดื่มไปหลายแก้วเลย
- รีสอร์ทอยู่ติดกับชายหาดทำให้สามารถไปเดินเล่นที่ชายหาดได้ ในกรณีที่ต้องการไปนั่งพักผ่อนริมทะเล
- Kid's Club มีของเล่นให้เด็กๆ เยอะดีครับ รวมถึงพนักงานก็น่ารัก คอยดูแลเด็กๆ เป็นอย่างดี
เช็คราคา และ การจองห้องพัก
ราคาห้องพักเริ่มต้นเฉลี่ย 5,500 - 38,000 บาท
หมายราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นอยู่กับ ช่วงวันและเวลาเข้าพัก
เช็คห้องว่างและราคาได้ที่นี่
Indigo Pearl Resort Phuket
116 หมู่ 1 ต.สาคู อ.ถลาง จ.ภูเก็ต 83110
โทร. 076-327-006, 076-327-015 (ภูเก็ต)
02-260-1022 (กรุงเทพ)
เว็บไซต์ : http://www.indigo-pearl.com
แผนที่ Indigo Pearl Resort Phuket
พิกัด GPS 8.086936, 98.299163